







คุณแม่ศิริกานต์ แม่ของน้องเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยวที่มีลูก 4 คน และน้ำฟ้าเป็นลูกคนสุดท้อง น้องเริ่มแสดงอาการพัฒนาการล่าช้าตอนอายุได้ 3 เดือน และเมื่อผลวินิจฉัยออกมา แพทย์ก็ได้บอกกับคุณแม่ศิริกานต์ว่าน้องน้ำฟ้าจะมีชีวิตอยู่ได้ไม่นาน ถึงอย่างนั้น เธอก็สัญญากับตัวเองว่าจะดูแลลูกให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้
น้องน้ำฟ้าไม่สามารถเดินหรือนั่งได้ด้วยตัวเองเนื่องจากอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรง พูดไม่ได้ และไม่สามารถทานอาหารแข็งได้ จึงต้องรับประทานอาหารเหลวสูตรพิเศษ คุณแม่ศิริกานต์อยากจะให้น้ำฟ้าได้รับการรักษาอย่างเต็มที่ แต่รายได้ของเธอน้อยมาก “ยังมีลูกอีกสามคนที่ต้องเลี้ยงดูค่ะ” เธอกล่าว เธอเคยทำงานต่างจังหวัดและมีรายได้เดือนละอย่างน้อย 13,000 บาท แต่เมื่อหักค่าใช้จ่ายอื่น ๆ เช่น ค่าเช่าบ้านแล้ว ก็แทบจะไม่เหลือเงินเลย สุดท้ายเธอจึงต้องกลับมาบ้านเกิดและรับจ้างรายวัน ทำงานทุกอย่างที่หาได้ “ช่วงโรคระบาดเป็นช่วงที่ลำบากมาก” เธอกล่าวเสริม เธอไม่สามารถพาน้ำฟ้าไปตรวจร่างกายหรือทำกายภาพบำบัดได้ ไม่ใช่แค่เพราะข้อจำกัดในการเดินทาง แต่ยังเป็นเพราะขาดรายได้อีกด้วย แม้ระบบประกันสุขภาพของรัฐบาลจะครอบคลุมค่ายาของน้อง แต่ค่าใช้จ่ายในการเดินทาง รวมถึงค่าอาหารและค่ารักษาสุขอนามัยก็เกินกำลังของเธอ