ปัญหาสุขภาพกายและสุขภาพจิตของเด็กและวัยรุ่นกำลังทวีความรุนแรง และส่งผลกระทบอย่างร้ายแรงต่อคุณภาพชีวิต รวมถึงศักยภาพในการพัฒนาประเทศชาติ

ร่วมบริจาคกองทุนสนับสนุนสุขภาพของเด็กยากไร้และชุมชน

ยังมีเด็กไทยอีกจำนวนมากที่ไม่อาจเข้าถึงการรักษาพยาบาล หลายคนไม่มีทุนทรัพย์ไปหาหมอ ไม่มีเงินเพียงพอสำหรับค่ารักษาพยาบาลและยา

มูลนิธิศุภนิมิตแห่งประเทศไทยจึงได้จัดทำกองทุนสนับสนุนสุขภาพของเด็กยากไร้และชุมชนขึ้นมา ซึ่งกองทุนนี้จะช่วยเหลือปัญหาสุขภาพของเด็กเปราะบางยากไร้ในประเทศไทย โดยหลัก ๆ แล้วแบ่งได้เป็น 3 ด้านใหญ่ ๆ ได้แก่

ปัญหาด้านสุขภาพกาย

ปัญหาด้านสุขภาพใจ

ปัญหาด้านทุพพลภาพ

มูลนิธิฯ และหน่วยงานท้องถิ่น ร่วมกันอบรมและเผยแพร่ความรู้ในการดูแลผู้ป่วยและผู้ทุพพลภาพที่ถูกต้องให้กับครอบครัวและคนในชุมชน ให้เข้าใจถึงวิธีการดูแลผู้ที่มีปัญหาสุขภาพกายและสุขภาพใจ สร้างเสริมความเข้าอกเข้าใจ เพื่อให้เด็ก ๆ ที่มีข้อจำกัดทางร่างกายได้เรียนหนังสือ มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น และใช้ชีวิตได้เต็มศักยภาพของพวกเขา

ท่านช่วยพวกเขาได้

ทุกการบริจาคเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตให้เด็กเปราะบางยากไร้

จัดตรวจสุขภาพเชิงรุกให้เด็กและคนในชุมชน

สนับสนุนอุปกรณ์ท่จำเป็น เช่น วีลแชร์ เครื่องช่วยฟัง

จัดอบรมการดูแลผู้ปกครองและครูในการดูแลเด็กที่มีปัญหาด้านสุขภาพ

สิ่งของจำเป็นสำหรับการดำรงชีวิต เช่น ผ้าอ้อทสำเร็จรูป อาหารเหลว

ค่าเดินทางสำหรับไปโรงพยาบาล

"ทำไมการช่วยเหลือถึงสำคัญ"

เพราะเงินบริจาคของท่านจะถูกนำไปใช้ประโยชน์ในด้านต่าง ๆ

เยียวยาความเจ็บด้วยน้ำใจ

ช่วยเหลือผู้ป่วยเด็กยากไร้และเด็กทุพพลภาพ

น้องนัน เมื่อปี พ.ศ.2565 น้องนันได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคแพ้ภูมิตัวเอง (SLE) ขณะมีอายุเพียง 17 ปีเท่านั้น แต่ทุกความฝันต้องพังลง เพราะโรคร้ายที่เข้ามาไม่ทันตั้งตัว
เริ่มแรกน้องมีอาการบวมตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย พ่วงด้วยอาการปวดข้อไปทั้งร่าง อาการของน้องจะกำเริบหนักเป็นพิษ เมื่อสัมผัสกับแสงแดดมากเกินไป และเลวร้ายกว่านั้นเมื่อโรคร้ายลุกลามหนัก จนถึงขั้นทำให้กระดูกสะโพกเสื่อม จนน้องนันไม่สามารถเดินได้ในที่สุด หลังจากโรคร้ายกัดกินกระดูกสะโพกของน้อง ทำให้ชีวิตต้องพึ่งพาคนในครอบครัวแทบทุกเรื่อง แม้หนทางรักษาเดียวของน้องนันในตอนนี้คือ การผ่าตัดเปลี่ยนข้อสะโพก ซึ่งต้องเสียค่าใช้จ่ายอย่างมาก สำหรับครอบครัว แต่หัวใจของผู้เป็นแม่ก็พร้อมที่จะทำทุกวิถีทางเพื่อให้ลูกสาวอันเป็นที่รักกลับมาใช้ชีวิตได้อีกครั้ง
ทันทีที่เราทราบอาการป่วยของน้องนัน ศุภนิมิตฯ ได้ประสานงานกับเจ้าหน้าที่ในพื้นที่เพื่อช่วยให้น้องได้เข้ารับการรักษา ก่อนที่อาการป่วยจะทรุดหนัก และรุนแรงจนสายเกินเยียวยา โดยตอนนี้น้องนันได้รับการผ่าตัดเปลี่ยนสะโพกแล้ว แต่ยังมีเด็กยากไร้อีกมากที่ต้องการไปหาหมอแต่ไม่มีทุนทรัพย์ และท่านสามารถช่วยพวกเขาได้

น้องน้ำฟ้าอายุ 6 ขวบ น้องได้รับการวินิจฉัยว่าป่วยด้วยโรคสมองพิการตั้งแต่อายุได้ 1 ขวบ

คุณแม่ศิริกานต์ แม่ของน้องเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยวที่มีลูก 4 คน และน้ำฟ้าเป็นลูกคนสุดท้อง น้องเริ่มแสดงอาการพัฒนาการล่าช้าตอนอายุได้ 3 เดือน และเมื่อผลวินิจฉัยออกมา แพทย์ก็ได้บอกกับคุณแม่ศิริกานต์ว่าน้องน้ำฟ้าจะมีชีวิตอยู่ได้ไม่นาน ถึงอย่างนั้น เธอก็สัญญากับตัวเองว่าจะดูแลลูกให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้
น้องน้ำฟ้าไม่สามารถเดินหรือนั่งได้ด้วยตัวเองเนื่องจากอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรง พูดไม่ได้ และไม่สามารถทานอาหารแข็งได้ จึงต้องรับประทานอาหารเหลวสูตรพิเศษ คุณแม่ศิริกานต์อยากจะให้น้ำฟ้าได้รับการรักษาอย่างเต็มที่ แต่รายได้ของเธอน้อยมาก “ยังมีลูกอีกสามคนที่ต้องเลี้ยงดูค่ะ” เธอกล่าว เธอเคยทำงานต่างจังหวัดและมีรายได้เดือนละอย่างน้อย 13,000 บาท แต่เมื่อหักค่าใช้จ่ายอื่น ๆ เช่น ค่าเช่าบ้านแล้ว ก็แทบจะไม่เหลือเงินเลย สุดท้ายเธอจึงต้องกลับมาบ้านเกิดและรับจ้างรายวัน ทำงานทุกอย่างที่หาได้ “ช่วงโรคระบาดเป็นช่วงที่ลำบากมาก” เธอกล่าวเสริม เธอไม่สามารถพาน้ำฟ้าไปตรวจร่างกายหรือทำกายภาพบำบัดได้ ไม่ใช่แค่เพราะข้อจำกัดในการเดินทาง แต่ยังเป็นเพราะขาดรายได้อีกด้วย แม้ระบบประกันสุขภาพของรัฐบาลจะครอบคลุมค่ายาของน้อง แต่ค่าใช้จ่ายในการเดินทาง รวมถึงค่าอาหารและค่ารักษาสุขอนามัยก็เกินกำลังของเธอ

น้องโสยาถูกนำมาฝากไว้ให้แม่นารีเลี้ยงดูตั้งแต่อายุได้เพียง 2 วัน

คุณแม่นารีเล่าว่า “ทิ้งเขาไม่ลงค่ะ เรากับสามีเลยตัดสินใจรับน้องมาเลี้ยง” โดยในตอนนั้นคุณแม่นารีและสามีไม่รู้เลยว่าในไม่ช้าน้องโสยาจะได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคอัมพาตครึ่งซีกด้านขวา ซึ่งเป็นสาเหตุให้กล้ามเนื้ออ่อนแรงและแข็งเกร็ง แม่ของน้องโสยาทำอาชีพขายผัก ส่วนพ่อเป็นลูกจ้างรายวัน มีรายได้ประมาณ 600-800 บาทต่อสัปดาห์ นอกจากนี้น้องโสยายังได้รับเบี้ยผู้พิการจากรัฐบาลเดือนละ 800 บาท ตอนที่น้องโสยาได้รับการวินิจฉัย คุณแม่นารีเคยคิดว่าอาการของน้องจะดีขึ้น แต่ถึงแม้จะได้รับยาและทำกายภาพบำบัดแล้ว อาการก็ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง ตอนนี้น้องโสยาอายุ 17 ปีแล้ว แต่ยังไม่สามารถเดินหรือพูดได้ และยังมีภาวะบกพร่องทางสติปัญญา จึงต้องมีคนดูแลตลอดเวลา “มีคนแนะนำให้ส่งน้องไปสถานสงเคราะห์ของรัฐบาล แต่ปฏิเสธไป แม้จะลำบาก แต่ก็รักเขา และจะดูแลน้องเอง” คุณแม่นารีกล่าว

วุฒิชัยอายุ 8 ขวบและกำลังเรียนอยู่ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ตอนอายุ 4 ขวบ เขาประสบเหตุการณ์ที่เปลี่ยนชีวิตของเขาไปอย่างสิ้นเชิง

วันนั้นแม่พาเขาไปงานขึ้นบ้านใหม่ที่มีการทำอาหารเลี้ยง ระหว่างที่แม่กำลังช่วยงาน วุฒิชัยกำลังเล่นกับเพื่อน ๆ และบังเอิญพลัดตกลงไปในหม้อซุปหมูที่เพิ่งปรุงเสร็จใหม่ ๆ เหตุการณ์ที่น่าเศร้าครั้งนี้ทำให้เขามีอาการบาดเจ็บสาหัส วุฒิชัยเป็นลูกคนที่สอง ครอบครัวของเขามีสมาชิก 6 คน รวมปู่และย่าด้วย ทุกคนประกอบอาชีพเกษตรกรรม ปลูกมะเขือเทศและข้าว ครอบครัวมีรายได้ต่อปี 50,000 บาท ซึ่งไม่เพียงพอที่จะเลี้ยงดูทุกคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อต้องแบกรับค่าใช้จ่ายทางการแพทย์ของวุฒิชัยเพิ่มขึ้นมาด้วย
0