ปัญหาเด็กและเยาวชนนอกระบบการศึกษายังคงทวีความรุนแรง และทุกภาคส่วนจะต้องเร่งสานพลังเพื่อร่วมกันแก้ปมที่อาจจะส่งผลกระทบกลายเป็นวิกฤตทุนมนุษย์ ทั้งความเหลื่อมล้ำทางสังคมที่เพิ่มสูงขึ้น การส่งต่อมรดกความยากจนจากรุ่นสู่รุ่นและความเสี่ยงต่อการเข้าสู่วงจรความยากจน ปัญหาสังคมและอาชญากรรม การสูญเสียศักยภาพของแรงงานในอนาคต รวมถึงความสูญเสียโอกาสการเติบโตทางเศรษฐกิจ
เมื่อวันที่ 11-12 ธันวาคมที่ผ่านมา กลุ่มพันธมิตรเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (EEA) ซึ่งมี UNSSCO และ กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) เป็นประธานร่วมกัน ได้จัดให้มี การประชุมกลุ่มพันธมิตรเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (EEA) ครั้งที่ 14 : การประชุมเสวนาวิชาการนานาชาติ ภายใต้แนวคิดหลัก “การป้องกันและแก้ไขสถานการณ์ปัญหาเยาวชนที่ไม่ได้อยู่ในการทำงาน การศึกษา หรือการฝึกอบรมผ่านมาตรการแนวปฏิบัติที่ดีจากประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้”
นอกจากการแลกเปลี่ยนข้อมูลภาพรวมของสถานการณ์กลุ่มเด็กและเยาวชนนอกระบบการศึกษาในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งปัจจุบันมีเด็กกว่า 14 ล้านคนที่อยู่นอกระบบการศึกษา ผู้บริหารและตัวแทนทั้งภาครัฐ นักวิชาการ นักการศึกษา และภาคประชาสังคม ยังได้ร่วมแบ่งปันในประเด็นสำคัญต่างๆ อาทิ เครื่องมือและต้นแบบติดตามและสนับสนุนกลุ่มเด็กและเยาวชนด้อยโอกาสและเปราะบางเพื่อให้ความช่วยเหลือที่เหมาะสมและทันท่วงที และต้นแบบและนวัตกรรมที่มีหลักฐานเชิงประจักษ์ในการสนับสนุนการเรียนรู้ของกลุ่มเด็กและเยาวชน เป็นต้น
Mr.Alonzo Padul Lee ผู้จัดการฝ่ายคุณภาพการดำเนินพันธกิจภาคสนาม มูลนิธิศุภนิมิตแห่งประเทศ ได้ร่วมแบ่งปันการดำเนินพันธกิจด้านการศึกษาและทักษะชีวิต รวมถึงการดำเนินงานเพื่อแก้ไขปัญหาเด็กหลุดจากระบบการศึกษาในระดับพื้นที่ ในการเสวนาเรื่อง ‘สานพลังหลายภาคส่วนเพื่อร่วมกันป้องกันปัญหาเด็กและเยาวชนนอกระบบการศึกษาในระดับพื้นที่ (Implementing OOSCY Programs on the Ground)’
“พันธกิจหลักในการดำเนินงานของมูลนิธิศุภนิมิตฯ คือการเปลี่ยนแปลงชีวิตของเด็ก โดยเฉพาะเด็กเปราะบางยากไร้ ให้มีความอยู่ดีมีสุข ปัจจุบันมีการดำเนินงานอยู่ในพื้นที่ประมาณ 30 จังหวัดของประเทศไทย เกือบทั้งหมดเป็นพื้นที่ห่างไกล จังหวัดชายแดน ที่มีความยากลำบาก สำหรับพันธกิจด้านการศึกษาและทักษะชีวิต มีทั้งการดำเนินงานด้านการพัฒนาโอกาสให้เด็กเข้าถึงการศึกษาที่มีคุณภาพ ขณะเดียวกันเรายังให้ความสำคัญกับการเสริมทักษะชีวิต ทักษะทางสังคม และทักษะทางความคิดให้กับเด็กและเยาวชน ควบคู่กับการดำเนินงานด้านการเสริมสร้างทักษะอาชีพ ทั้งอาชีพด้านการเกษตร อาชีพช่างต่างๆ อาชีพด้านอาหารและเครื่องดื่ม อาชีพงานบริการ เช่น การตัดผม เป็นต้น รวมถึงการให้ทุนการศึกษาด้วย ทั้งนี้โดยบูรณาการร่วมกับงานด้านการพัฒนาครอบครัว การสร้างความเข้มแข้งและการมีส่วนร่วมกับชุมชน สถานศึกษา ผู้นำชุมชน หน่วยงานปกครองท้องถิ่น ที่สำคัญเรายังมีการขับเคลื่อนงานเชิงการรณรงค์เพื่อความยุติธรรมในสังคมร่วมกับภาครัฐ เช่น สอวช. ในการร่วมออกแบบเครื่องมือ กระบวนการ และการผลักดันนโยบายเพื่อแก้ไขปัญหาเด็กหลุดจากระบบการศึกษาด้วย”
Mr.Alonzo ยังได้กล่าวถึงข้อท้าทายที่จะส่งผลกระทบกับเด็กและเยาวชน ไม่ว่าจะเป็นผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ-ภัยพิบัติ และปัญหาความขัดแย้งบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งกำลังส่งผลกระทบต่อโอกาสทางการศึกษาของเด็กและเยาวชน
“มูลนิธิศุภนิมิตฯ กำลังก้าวสู่การดำเนินงานตามแผนยุทธศาสตร์ 2026-2030 ซึ่งจะให้ความสำคัญกับการเสริมสร้างความร่วมมือและการทำงานอย่างเข้มแข็งกับเครือข่ายท้องถิ่นมากขึ้น การเข้าถึงเด็กเปราะบางยากไร้ที่สุด เด็กพิการ รวมถึงเด็กที่หลุดจากระบบการศึกษา การพัฒนาระบบการเรียนรู้ที่ยืดหยุดปรับเปลี่ยนได้สำหรับเด็กแต่ละกลุ่ม โดยให้ความสำคัญกับการทำงานวิจัยร่วมกับหน่วยงานต่างๆ เพื่อให้การขับเคลื่อนแก้ไขปัญหาเด็กหลุดจากระบบการศึกษา และการพัฒนาด้านการศึกษาและทักษะชีวิตในเด็กและเยาวชนเกิดประโยชน์สูงสุด” Mr.Alonzo กล่าวถึงแผนยุทธศาสตร์ของมูลนิธิศุภนิมิตฯ ในตอนท้ายของการเสวนา


