ปัญหาการค้ามนุษย์ยังคงเป็นหนึ่งในอาชญากรรมที่ท้าทายระดับโลก ซึ่งส่งผลกระทบอย่างลึกซึ้งต่อชีวิต ความปลอดภัย และศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของผู้คนจำนวนมาก การค้ามนุษย์ไม่ได้เกิดขึ้นโดยบังเอิญ แต่เป็นอาชญากรรมที่มีการจัดตั้งอย่างเป็นระบบ มีขบวนการและเครือข่ายที่เกี่ยวข้องหลายฝ่าย ตั้งแต่ผู้จัดหา นายหน้า ผู้ขนส่ง ไปจนถึงผู้แสวงหาประโยชน์ปลายทาง ในหลายกรณี ผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์มักเป็นผู้ที่อยู่ในสถานะเปราะบาง เช่น ผู้ที่ไม่มีเอกสารรับรองตัวตน ผู้ที่ขาดความรู้ความเข้าใจด้านสิทธิ หรือบุคคลไร้รัฐไร้สัญชาติ ซึ่งมักถูกหลอกลวง หรือบังคับให้เข้าสู่สถานการณ์ที่ไม่สามารถปฏิเสธหรือหลีกเลี่ยงได้
ในบริบทของประเทศไทย การค้ามนุษย์ยังคงเป็นปัญหาที่ซับซ้อนและเชื่อมโยงกับปัจจัยทางเศรษฐกิจ สังคม การเมือง และการโยกย้ายถิ่นฐานอย่างใกล้ชิด การแก้ไขปัญหานี้จึงต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน และการทำงานเชิงระบบที่ครอบคลุมทั้งการป้องกัน การบังคับใช้กฎหมาย และการปกป้องคุ้มครองไปพร้อม ๆ กัน
การโยกย้ายถิ่นฐาน: ช่องทางสำคัญที่เชื่อมโยงกับความเสี่ยงในการค้ามนุษย์
การโยกย้ายถิ่นฐาน ทั้งภายในประเทศและระหว่างประเทศ เป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ทำให้ประชากรจำนวนไม่น้อยตกอยู่ในสถานะเปราะบาง และเสี่ยงต่อการตกเป็นผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ โดยเฉพาะในกรณีของการโยกย้ายถิ่นฐานแบบไม่ปกติ ซึ่งมักทำให้ผู้โยกย้ายถิ่นฐานขาดการเข้าถึงสิทธิขั้นพื้นฐาน และตกอยู่ในสถานการณ์ที่เอื้อต่อการถูกแสวงหาประโยชน์ สาเหตุและปัจจัยของการโยกย้ายถิ่นฐานจำแนกออกเป็น 5 ปัจจัยหลัก ได้แก่:
• ด้านการเมือง เช่น ความขัดแย้ง ความไม่สงบ หรือสงครามกลางเมือง ที่ผลักดันให้ผู้คนต้องหลบหนีเพื่อความปลอดภัย
• ด้านสิ่งแวดล้อมหรือการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ เช่น ภัยธรรมชาติ ภาวะโลกร้อน ที่ทำให้พื้นที่ที่อยู่อาศัยเดิมไม่สามารถดำรงชีวิตได้
• ด้านเศรษฐกิจ เช่น ความยากจน การขาดโอกาสในการทำงานหรือรายได้ที่เพียงพอ
• ด้านประชากร เช่น การเพิ่มขึ้นของจำนวนประชากรในบางพื้นที่ จนทรัพยากรไม่เพียงพอต่อการดำรงชีวิต
• ด้านสังคมและวัฒนธรรม เช่น การโยกย้ายเพื่อรวมครอบครัว หรือหลีกเลี่ยงการเลือกปฏิบัติทางเพศ เชื้อชาติ หรือศาสนา
การเข้าใจปัจจัยเหล่านี้เป็นสิ่งสำคัญในการออกแบบนโยบายและมาตรการป้องกันการค้ามนุษย์อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะในกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงจากการโยกย้ายถิ่นฐานอย่างไม่ปลอดภัย
ภาวะไร้รัฐไร้สัญชาติ: จุดเริ่มต้นของความเปราะบาง เสี่ยงต่อการถูกแสวงหาประโยชน์
ภาวะไร้รัฐไร้สัญชาติ คือสถานะของบุคคลที่ไม่ได้รับการรับรองสถานะทางกฎหมายจากประเทศใดเลย ส่งผลให้บุคคลเหล่านี้ไม่สามารถเข้าถึงสิทธิขั้นพื้นฐานตามกฎหมายได้ เช่น สิทธิในการเดินทาง การศึกษา การทำงาน การเข้าถึงบริการสุขภาพ หรือแม้แต่การได้รับความคุ้มครองจากระบบยุติธรรม บุคคลไร้รัฐไร้สัญชาติจึงกลายเป็นกลุ่มที่มีความเปราะบางสูง และมีความเสี่ยงอย่างยิ่งต่อการตกเป็นผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์
ขบวนการค้ามนุษย์มักฉวยโอกาสจากช่องว่างทางกฎหมาย ความไม่รู้เท่าทัน และความเปราะบางในหลายมิติ เพื่อแสวงหาผลประโยชน์อย่างไม่เป็นธรรม โดยเฉพาะกับกลุ่มที่ไม่มีสถานะทางกฎหมาย ไม่ว่าจะเป็นการบังคับใช้แรงงาน
การแสวงหาประโยชน์ทางเพศ การใช้แรงงานเด็ก การบังคับขอทาน หรือแม้แต่การลักลอบขนย้ายเพื่อผลประโยชน์ในเครือข่ายอาชญากรรมอื่น ๆ
ดังนั้น การป้องกันปัญหาการค้ามนุษย์จึงต้องให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการการโยกย้ายถิ่นฐานอย่างปลอดภัย (Safe Migration) ควบคู่กับการสร้างความรู้เท่าทัน การส่งเสริมการเข้าถึงสิทธิขั้นพื้นฐานของผู้โยกย้ายถิ่นฐานอย่างครอบคลุมและยั่งยืน รวมถึงการแก้ไขปัญหาสถานะบุคคล การส่งเสริมการขึ้นทะเบียนบุคคลไร้รัฐไร้สัญชาติ และการสร้างระบบการคุ้มครองทางสังคมที่ครอบคลุมรอบด้าน เพื่อให้ทุกคนได้รับสิทธิและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์อย่างเท่าเทียม
เดินหน้าขับเคลื่อนการป้องกันปัญหาการค้ามนุษย์ในกลุ่มเปราะบาง โดยมูลนิธิศุภนิมิตแห่งประเทศไทย
มูลนิธิศุภนิมิตฯ ในฐานะองค์กรภาคประชาสังคมที่ดำเนินงานด้านการต่อต้านการค้ามนุษย์มาตั้งแต่ปี 2545 ตระหนักถึงความสำคัญของการป้องกันและลดความเสี่ยงของกลุ่มเปราะบาง ผ่านแนวทางการดำเนินงานหลัก 3 ด้าน ได้แก่:
• การเสริมสร้างความรู้ด้านสิทธิแรงงาน มูลนิธิฯ จัดอบรมให้ความรู้แก่แรงงานข้ามชาติ ครอบครัว และนายจ้าง เพื่อส่งเสริมความเข้าใจเกี่ยวกับสิทธิขั้นพื้นฐาน เช่น สิทธิในการทำงานอย่างถูกกฎหมาย สิทธิของเด็กในฐานะผู้ติดตาม ความรุนแรงบนฐานทางเพศ (Gender-Based Violence) สิทธิด้านสุขภาพ และการวางแผนครอบครัว รวมถึงการสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับช่องทางการขอความช่วยเหลือเมื่อเผชิญกับความรุนแรงบนฐานทางเพศ การถูกแสวงหาประโยชน์หรือการค้ามนุษย์
• การพัฒนาภาคีเครือข่ายในทุกระดับ มูลนิธิฯ ทำงานร่วมกับภาครัฐ ภาคประชาสังคม ภาคเอกชน และองค์กรระหว่างประเทศเพื่อพัฒนาระบบการรับแจ้งเหตุ การส่งต่อ และการปกป้องคุ้มครองกลุ่มเป้าหมาย ตลอดจนการผลักดันเชิงนโยบายและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง
• การพัฒนาสถานะบุคคลของเด็กและเยาวชนไร้รัฐไร้สัญชาติ สนับสนุนการเข้าถึงกระบวนการพัฒนาสถานะบุคคล เพื่อให้เด็กและเยาวชนมีสถานะทางกฎหมายที่เหมาะสม สามารถเข้าถึงสิทธิขั้นพื้นฐาน เช่น การเดินทาง การศึกษา การทำงาน และการรักษาพยาบาลได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย
แนวทางการดำเนินงานของมูลนิธิศุภนิมิตฯ สอดคล้องกับแนวคิดขององค์การสหประชาชาติ เนื่องในวันต่อต้านการค้ามนุษย์สากล ประจำปี 2568 ภายใต้หัวข้อ “การค้ามนุษย์เป็นอาชญากรรมที่มีการจัดตั้งอย่างเป็นระบบ ร่วมกันยุติการแสวงหาประโยชน์ (Human trafficking is Organized Crime – End the Exploitation)” บทบาทของมูลนิธิศุภนิมิตฯ ไม่ได้จำกัดอยู่เพียงการให้ความช่วยเหลือในระดับบุคคล แต่ยังรวมถึงการขับเคลื่อนนโยบายและระบบที่เอื้อต่อการป้องกันการแสวงหาประโยชน์ในทุกรูปแบบ ในปี 2568 มูลนิธิศุภนิมิตฯ ยังคงเดินหน้าขับเคลื่อนพันธกิจด้านการต่อต้านการค้ามนุษย์ การส่งเสริมการทำงานที่มีคุณค่า และการคุ้มครองเด็กและสตรีที่ได้รับผลกระทบจากการโยกย้ายถิ่นฐาน ผ่านโครงการหลัก ดังนี้:
• โครงการพัฒนาสถานะบุคคลและสิทธิสำหรับเด็กและเยาวชนไร้รัฐไร้สัญชาติ ขยายการดำเนินงานครอบคลุม 3 จังหวัด ได้แก่ เชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน และสระแก้ว โดยมีเป้าหมายเพื่อสนับสนุนให้เด็กนักเรียนรหัส G ได้รับการจัดทำทะเบียน หรือได้รับหมายเลขประจำตัว 13 หลัก ผ่านกระบวนการให้คำปรึกษาและอำนวยความสะดวกในการจัดเตรียมเอกสารและยื่นคำร้องจากการออกหน่วยทะเบียนเคลื่อนที่ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ การดำเนินงานยึดหลักการสร้างความร่วมมืออย่างเป็นรูปธรรมกับอาสาสมัคร ผู้ปกครอง และเจ้าหน้าที่รัฐในพื้นที่ เพื่อให้เด็กและครอบครัวสามารถเข้าถึงกระบวนการทางกฎหมายได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม โดยเฉพาะในกรณีที่มีข้อจำกัดด้านการเดินทางในพื้นที่ห่างไกล โครงการนี้เปิดโอกาสให้เด็กและเยาวชนไร้รัฐไร้สัญชาติได้เข้าถึงสิทธิที่พึงมี สู่การพัฒนาศักยภาพของตนเองได้อย่างเต็มที่และเท่าเทียม พร้อมทั้งสนับสนุนการพัฒนาสถานะทางกฎหมายของกลุ่มเป้าหมายตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2567 เพื่อร่วมขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาสถานะบุคคลให้เป็นไปตามนโยบายของประเทศอีกด้วย
• โครงการเสริมสร้างความรับผิดชอบในการจ้างงานและสรรหาแรงงานข้ามชาติในประเทศไทย ดำเนินงานใน 6 จังหวัด ได้แก่ กรุงเทพฯ สมุทรปราการ นนทบุรี ปทุมธานี นครปฐม และชลบุรี โดยได้รับการสนับสนุนจากองค์การแรงงานระหว่างประเทศ (ILO) และสหภาพยุโรป (EU) ตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2568 โครงการมุ่งเน้นให้แรงงานหญิงข้ามชาติและครอบครัวได้รับการคุ้มครองจากความรุนแรงและการละเมิดสิทธิแรงงาน โดยเป็นส่วนหนึ่งของโครงการระดับภูมิภาค ‘PROTECT’ ที่มีเป้าหมายในการส่งเสริมการทำงานที่มีคุณค่า และลดความเปราะบางของผู้หญิงและเด็กในบริบทของการโยกย้ายถิ่นฐานในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้


