เยาวชนจาก 8 ประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออก ได้เดินทางมารวมตัวกันที่ กรุงเทพฯ เพื่อเข้าร่วมกิจกรรม Young Minds CAMP (YMC) ซึ่งจัดขึ้นโดย World Vision East Asia
กิจกรรมนี้จัดขึ้นเป็นประจำทุกปี โดยมีเป้าหมายเพื่อเปิดพื้นที่ให้เยาวชนได้เรียนรู้และฝึกฝนทักษะสำคัญ ทั้งการเป็นผู้นำ การสื่อสาร และการขับเคลื่อนประเด็นที่เกี่ยวข้องกับสิทธิเด็กและการพัฒนาชุมชน โดยเฉพาะในปีนี้ ที่หัวข้อหลักของเวทีคือ ‘Migration’ หรือการโยกย้ายถิ่นฐาน ซึ่งเป็นประเด็นที่เกี่ยวข้องกับชีวิตของเด็กและเยาวชนจำนวนมากในภูมิภาคของเรา
เวทีครั้งนี้มีเยาวชนเข้าร่วมกว่า 20 คน จากประเทศกัมพูชา ลาว มองโกเลีย เมียนมา เวียดนาม อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ และไทยโดยตัวแทนผู้นำเยาวชนจากมูลนิธิศุภนิมิตฯ เข้าร่วม 2 คน
ได้แก่ มิ่ง ศาศวัต จากจังหวัดสุรินทร์ และ แป้ง สิริมา จากจังหวัดแม่ฮ่องสอน
กิจกรรมเริ่มต้นด้วยการเวิร์คช็อปที่ออกแบบมาเพื่อให้ความรู้กับเยาวชนเกี่ยวกับการโยกย้ายถิ่นฐาน รวมถึงผลกระทบที่ตามมา พร้อมกันนี้ เยาวชนจากประเทศต่าง ๆ ยังได้ทำความรู้จัก เรียนรู้กันและกัน แลกเปลี่ยนประสบการณ์ และนำเสนอข้อเสนอเชิงนโยบายจากมุมมองของพวกเขาเอง
ช่วงสำคัญของค่ายนี้ คือ การเปิดเวทีให้เยาวชนได้แชร์มุมมองของตัวเองต่อปัญหาการโยกย้ายถิ่นฐาน และเด็กที่ได้รับผลกระทบจากการโยกย้ายถิ่นฐานในประเทศของตน ซึ่งหลายคนสะท้อนถึงความท้าทายที่เด็กและเยาวชนต้องเผชิญ เช่น การขาดโอกาสทางการศึกษา การไม่มีเอกสารทางทะเบียนราษฎร การเข้าไม่ถึงสิทธิต่าง ๆ และการบริการจากภาครัฐ หรือการถูกเลือกปฏิบัติในพื้นที่ใหม่ที่พวกเขาย้ายไปอยู่
‘มิ่ง’ และ ‘แป้ง’ ก็ได้ร่วมแลกเปลี่ยนประสบการณ์จากพื้นที่ของตนเอง พร้อมเสนอแนวทางที่เยาวชนสามารถมีส่วนร่วมได้ เช่น การจัดกิจกรรมให้ความรู้เรื่องสิทธิเด็ก การสร้างพื้นที่ปลอดภัยในชุมชน และการผลักดันให้เสียงของเยาวชนได้รับการรับฟังในระดับนโยบาย
แป้งได้สะท้อนมุมมองต่อการโยกย้ายถิ่นฐานว่า “การโยกย้ายถิ่นฐานเกิดขึ้นได้จากหลายปัจจัยค่ะ ไม่ว่าจะเป็นภัยธรรมชาติ เช่น น้ำท่วม หรือปัญหาครอบครัวอย่างพ่อแม่แยกทางกัน ซึ่งส่งผลให้เด็กต้องอยู่ตามลำพังและเกิดความกังวลใจ รู้สึกโดดเดี่ยว… หนูอยากให้ผู้ใหญ่คำนึงถึงความรู้สึกของเด็กที่ต้องเผชิญกับการย้ายถิ่นฐาน เพราะมันอาจทำให้เด็กเครียดและไม่มั่นคงทางจิตใจ และถ้าเป็นเรื่องสิทธิของเด็ก หนูอยากให้เสียงของเด็กได้รับการรับฟังมากที่สุดค่ะ”
“การช่วยเหลือเด็กที่โยกย้ายถิ่นฐานไม่ใช่แค่เรื่องของการให้ความช่วยเหลือทั่วไป แต่คือการทำให้พวกเขาเข้าถึงสิทธิที่ควรได้รับอย่างแท้จริง ซึ่งวันนี้ผมได้เข้าใจว่าสิทธิของเด็กมีอะไรบ้าง และควรทำอย่างไรเพื่อให้เด็กทุกคน โดยเฉพาะผู้ที่ไม่มีเอกสารหรือบัตรประชาชน ได้รับการดูแลและเข้าถึงบริการขั้นพื้นฐานเหมือนกับคนอื่น ๆ” มิ่งพูดด้วยน้ำเสียงที่เต็มเปี่ยมด้วยความมุ่งมั่น
เวทีนี้ไม่เพียงเปิดโอกาสให้เยาวชนได้แสดงศักยภาพ แต่ยังเป็นการตอกย้ำว่า ‘เสียงของเยาวชน’ มีความหมาย และสามารถเป็นพลังสำคัญในการขับเคลื่อนสังคมให้ดีขึ้น โดยเฉพาะในช่วงการนำเสนอโครงการเพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลง ซึ่งเป็นช่วงเวลาสำคัญที่เยาวชนได้ใช้พื้นที่นี้ในการสะท้อนมุมมอง ความรู้สึก และประสบการณ์ที่เกี่ยวข้องกับประเด็นการโยกย้ายถิ่นฐาน
ผู้แทนจากองค์กรระหว่างประเทศ (iNGO) ที่เข้าร่วมรับฟังข้อเสนอของเยาวชนในเวทีนี้ ได้เห็นถึงความตั้งใจและความสามารถในการวิเคราะห์ปัญหาอย่างลึกซึ้งของเยาวชน ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่า เยาวชนไม่ใช่เพียงผู้รับผลกระทบ แต่เป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการสร้างการเปลี่ยนแปลง และควรได้รับการสนับสนุนให้มีส่วนร่วมในระดับนโยบาย
การเปิดพื้นที่ให้เยาวชนได้พูด ได้เสนอ และได้ร่วมคิดร่วมทำเช่นนี้ คือการยืนยันว่า “เสียงของเยาวชน” คือพลังที่สามารถผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืนในสังคมได้อย่างแท้จริง


